ยางรถยนต์ผลิตจากวัสดุหลักสองประเภทคือยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ โดยมีการผสมกับสารเติมแต่งอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของยางรถยนต์ วัสดุหลักที่ใช้มีดังนี้:

  1. ยางธรรมชาติ (Natural Rubber) - สกัดจากน้ำยางของต้นยางพารา มีคุณสมบัติยืดหยุ่นและต้านทานการสึกหรอได้ดี
  2. ยางสังเคราะห์ (Synthetic Rubber) - ผลิตจากสารเคมีที่เกิดจากกระบวนการปิโตรเลียม เช่น สารบิวทาไดอีนและสไตรีน-บิวทาไดอีน มีคุณสมบัติที่ปรับแต่งให้ทนต่อการเสื่อมสภาพและความร้อน
  3. สารเติมแต่ง (Additives) - ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น
    • เขม่าดำ (Carbon Black) ช่วยเสริมความแข็งแรงและความทนทาน
    • ซิลิกา (Silica) เพิ่มความสามารถในการยึดเกาะและลดความต้านทานการหมุน
    • น้ำมัน (Oils) ช่วยในการปรับความยืดหยุ่น

วัสดุเหล่านี้ถูกนำมาผสมและผ่านกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนเพื่อให้ได้ยางรถยนต์ที่มีคุณสมบัติทนทานและเหมาะสมกับสภาพถนนต่าง ๆ

มาดูรายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบหลักที่ใช้ในการผลิตยางรถยนต์:

1. ยางธรรมชาติ (Natural Rubber)

  • แหล่งที่มา: สกัดจากต้นยางพารา (Hevea brasiliensis) โดยการเก็บน้ำยางที่ออกมาจากเปลือกของต้นยาง
  • คุณสมบัติ: ยางธรรมชาติมีความยืดหยุ่นสูง, ทนต่อการฉีกขาดและแรงดึงได้ดี, ทนทานต่อการสึกหรอและการกระแทก จึงเหมาะสมกับการนำมาใช้ในส่วนที่ต้องรับแรงของยางรถยนต์
  • การใช้งาน: มักใช้ในชั้นของดอกยาง (Tread) และแก้มยาง (Sidewall) ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องการความยืดหยุ่นและการทนทานสูง

2. ยางสังเคราะห์ (Synthetic Rubber)

  • แหล่งที่มา: ยางสังเคราะห์เกิดจากการผสมสารเคมีที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม เช่น บิวทาไดอีน (Butadiene) และ สไตรีน (Styrene) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสำคัญในการผลิตยางชนิดต่าง ๆ
  • คุณสมบัติ: ยางสังเคราะห์มีความทนทานต่อความร้อนและสารเคมีดีกว่ายางธรรมชาติ, ไม่สึกหรอง่ายในสภาพอุณหภูมิที่สูง, ทนต่อการเสื่อมสภาพจากโอโซนและแสงแดด
  • การใช้งาน: มักใช้ในส่วนของแกนด้านในของยางรถยนต์ (Inner Liner) หรือส่วนที่ต้องการความทนทานต่ออุณหภูมิและสภาพการใช้งานหนัก เช่น ยางรันแฟลต (Run-flat tires)

3. เขม่าดำ (Carbon Black)คาร์บอนแบล็ค

  • แหล่งที่มา: เป็นผงสีดำที่ได้จากการเผาน้ำมันปิโตรเลียมหรือก๊าซธรรมชาติในอุณหภูมิสูง
  • คุณสมบัติ: ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของยาง, เพิ่มการต้านทานการสึกหรอ และเสริมความสามารถในการทนต่อการเสียดสี
  • การใช้งาน: เขม่าดำมักถูกผสมในยางเพื่อเสริมโครงสร้างและความทนทานต่อการใช้งานในระยะยาว โดยเฉพาะในดอกยางซึ่งต้องรับการเสียดสีมาก

4. ซิลิกา (Silica)

  • แหล่งที่มา: ซิลิกาเป็นสารประกอบจากแร่ธรรมชาติ เช่น ทราย หรือควอตซ์
  • คุณสมบัติ: ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนของยางและลดความต้านทานการหมุน (Rolling Resistance) ซึ่งส่งผลให้ยางมีประสิทธิภาพในด้านการประหยัดพลังงานและลดการใช้น้ำมัน
  • การใช้งาน: ซิลิกามักถูกผสมในสูตรยางที่ต้องการประสิทธิภาพในการขับขี่บนพื้นเปียกและลดการต้านทานการหมุนของยาง

5. น้ำมัน (Oils)

  • แหล่งที่มา: มาจากน้ำมันปิโตรเลียมหรือพืช ซึ่งถูกผสมกับยางเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติ
  • คุณสมบัติ: น้ำมันทำหน้าที่เป็นสารปรับความยืดหยุ่นในเนื้อยาง ช่วยให้ยางคงสภาพการใช้งานในอุณหภูมิที่ต่างกันได้ดีขึ้น และเพิ่มความยืดหยุ่นเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็น
  • การใช้งาน: มักใช้ในยางที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงในทุกสภาพอากาศ เช่น ยางที่ใช้ในยานพาหนะที่ใช้งานในฤดูหนาวหรือพื้นที่อากาศหนาวเย็น

6. สารเติมแต่งอื่นๆ (Other Additives)

  • สารกันรังสี UV (Anti-UV Agents): ช่วยป้องกันยางจากการเสื่อมสภาพที่เกิดจากรังสี UV ซึ่งทำให้ยางแตกหรือเปราะ
  • สารป้องกันการออกซิเดชัน (Antioxidants): ช่วยยืดอายุการใช้งานของยางโดยป้องกันการเสื่อมสภาพจากการสัมผัสกับอากาศหรือโอโซน
  • สารเร่งปฏิกิริยา (Accelerators): ช่วยเร่งกระบวนการวัลคาไนซ์ (Vulcanization) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำให้ยางมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น

องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ยางรถยนต์มีความแข็งแรง ทนทาน และยืดหยุ่นตามสภาพการใช้งานต่างๆ