ความแตกต่างของยางรถยนต์ประเภท HT, AT, และ MT

1. HT ? Highway Terrain (ยางสำหรับทางหลวง)

  • ลักษณะดอกยาง: มีร่องดอกยางแคบและตื้น เรียบเนียน
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการขับขี่บนถนนลาดยางและคอนกรีตเป็นหลัก
  • ข้อดี:
    • ให้ความนุ่มนวลและเงียบในการขับขี่
    • ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
    • อายุการใช้งานยาวนาน
  • ข้อจำกัด:
    • ประสิทธิภาพต่ำในการขับขี่บนพื้นผิวขรุขระหรือโคลน

2. AT ? All Terrain (ยางอเนกประสงค์)

  • ลักษณะดอกยาง: มีร่องดอกยางที่ลึกและกว้างกว่า HT มีบล็อกดอกยางขนาดใหญ่
  • การใช้งาน: สามารถใช้ได้ทั้งบนถนนลาดยางและพื้นผิวขรุขระ เช่น ดิน หิน ทราย
  • ข้อดี:
    • ให้การยึดเกาะที่ดีทั้งบนถนนและออฟโรด
    • มีความทนทานสูง
    • เสียงรบกวนน้อยกว่า MT เมื่อใช้บนถนนลาดยาง
  • ข้อจำกัด:
    • ประสิทธิภาพด้อยกว่า HT บนถนนลาดยาง และด้อยกว่า MT ในสภาพออฟโรดสุดขั้ว

3. MT ? Mud Terrain (ยางสำหรับโคลน)

  • ลักษณะดอกยาง: มีร่องดอกยางที่ลึกและกว้างมาก มีบล็อกดอกยางขนาดใหญ่และหยาบ
  • การใช้งาน: ออกแบบมาสำหรับการขับขี่ในสภาพออฟโรดสุดขั้ว เช่น โคลนลึก หินขรุขระ
  • ข้อดี:
    • ให้การยึดเกาะและการระบายโคลนที่ดีเยี่ยมในสภาพออฟโรด
    • ทนทานต่อการฉีกขาดและการเจาะทะลุ
  • ข้อจำกัด:
    • เสียงดังและสั่นสะเทือนมากเมื่อใช้บนถนนลาดยาง
    • สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่า HT และ AT
    • อายุการใช้งานสั้นกว่าเมื่อใช้บนถนนลาดยางเป็นประจำ

การเลือกใช้ยางประเภทใดขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานหลักของรถยนต์ หากใช้งานบนถนนลาดยางเป็นส่วนใหญ่ HT จะเหมาะสมที่สุด หากต้องการความอเนกประสงค์ AT จะเป็นตัวเลือกที่ดี และหากต้องการประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่ออฟโรด MT จะเหมาะสมที่สุด